เห็ดทางการแพทย์ที่ท่านผู้อ่านหลายคนคุ้นๆหู ได้ยินได้ฟังบ่อยๆ และควรรู้จักที่เหลือ คือ
เห็ดยามาบูชิตาเกะ(Yamabushitake) หรือเห็ดปุยฝ้าย ถูกนำไปเข้าตำรับยาในการรักษาโรคของระบบทางเดินอาหาร เช่น แผลในกระเพาะอาหารเป็นต้น และปัจจุบันมีรายงานผลการศึกษาวิจัยพบว่าเห็ดยามาบูชิตาเกะมีผลเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันมีอยู่ค่อนข้างมาก เช่น การค้นพบของนักวิทยาศาสตร์จากประเทศจีน พบว่าสารสกัดจากเห็ดยามาบูชิตาเกะช่วยกระตุ้นและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของเม็ดเลือดขาวชนิด บี และ ที ลิมโฟไซต์ นอกจากนี้ยังส่งผลต่อการเพิ่มระดับของเซลล์ซีดี4 และเม็ดเลือดขาวชนิดแมคโครฟาจซึ่งช่วยในการจับกินเชื้อโรคอีกด้วย
ถั่งเฉ้า (Cordyceps) จัดเป็นเห็ดทางการแพทย์อีกชนิดหนึ่งที่หาได้ยากในทางวิชาการพบว่าถั่งเฉ้า มีสารสำคัญต่างๆ ช่วยในกระบวนการหายใจ ทำให้ปอดนำเอาออกซิเจนไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีผลต่อการเสริมสร้างความสมบูรณ์ และการผลิตฮอร์โมนที่สำคัญของร่างกาย
ความลับของเห็ดเป็นยา
เห็ดนอกจากจะใช้เป็น อาหารที่ให้โปรตีน วิตามิน และเกลือแร่สูงแล้วยังมีคุณสมบัติเป็นยารักษาโรคได้อีกด้วย เนื่องจากเห็ดอุดมไปด้วย เบต้ากลูแคน (Beta glucan) ซึ่งเป็นสารโพลิแซคคาไรด์จากธรรมชาติ ช่วยกระตุ้นระบบภูมิต้านทาน กระตุ้นเม็ดเลือดขาวขนาดใหญ่ นำมาใช้ประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับอาหารเสริมสุขภาพหรือใช้เป็นยาเพื่อใช้ป้องกันและยับยั้งโรคร้ายแรงต่างๆ เช่นยับยั้งเซลล์มะเร็ง (Anti-cancer) ยับยั้งการติดเชื้อ (Anti-infect) และมีคุณสมบัติเป็นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำจึงมีคุณสมบัติลดไขมันได้อีกด้วย ในเห็ดยังมีสารเจอเมเนียมอินทรีย์ เป็นเกลือแร่สำคัญ จัดเป็นสารปรับสมดุลร่างกาย (Adaptogen) ทำให้ทุกระบบกลับมาเป็นปกติทำให้จิตใจสดชื่น คลายเครียด เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มการเผาผลาญสร้างพลังงานในร่างกาย เพิ่มออกซิเจนให้ในระดับเซลล์ สร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย กระตุ้นการทำงานเม็ดเลือดขาวขนาดใหญ่ เห็ดบางชนิดมีกรดกาโนเดอลิก (Ganoderic acid) ทำให้เห็ดหลินจือมีรสขม เป็นตัวที่ให้ออกซิเจนระดับเซลล์ ต้านสารฮีสตามีนที่ทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ กระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ผลิตสารอินเตอฟิรอนแกมม่า มีงานวิจัยในบ้านเรา ถึงเห็ดสมุนไพรที่มีปริมาณสารโพลิแซคคาไรด์สูงและมีศักยภาพในการผลิตน้ำเห็ดสกัดสมุนไพรพร้อมดื่มได้แก่เห็ดนางรมฮังการี เห็ดเป๋าฮื้อ เห็ดหอม และเห็ดหลินจือ
ข้อควรระวังในการกินเห็ด
- อาการหิวน้ำบ่อย ผิวหนังเป็นผื่นคัน แผลร้อนใน ปวดมวนท้อง ซึ่งมักจะเกิดตอนเริ่มรับประทานสัปดาห์แรกแต่ไม่ได้พบทุกคนที่รับประทาน ในกรณีที่เป็นมากแนะนำให้ดื่มน้ำมากๆและเริ่มรับประทานใหม่โดยลดขนาดลงการรับประทานอย่างไรก็ตามมีรายงานว่าการรับประทานเห็ดบางชนิดเช่น หลินจือติดต่อกันเป็นเวลานาน 4-6 เดือน อาจก่อให้เกิดอาการข้างเคียง คือ อาจทำให้เกิดอาการปากแห้ง คอแห้ง วิงเวียน ได้แต่พบค่อนข้างน้อย มีคำแนะนำให้รับประทานนานครั้งละ 4 เดือนหยุด 1 เดือนแล้วจึงเริ่มรับประทานใหม่
- ผู้ที่ต้องรับประทานยาเพื่อลดหรือกดภูมิคุ้มกัน เช่น โรคพุ่มพวง (SLE) หรือผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ
- ผู้ที่รับประทานยากลุ่มต้านการแข็งตัวของเลือดควรงดรับประทาน
วิธีเลือกผลิตภัณฑ์เห็ดสกัด
ผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่าสกัดเย็นนั้นคือ ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านกรรมวิธีทำให้แห้งแบบ freeze dry (ทำให้แห้งโดยใช้ความเย็น) และผลิตภัณฑ์แบบสกัดร้อนคือผลิตภัณฑ์ที่ทำให้แห้งแบบ spray dry (ทำให้แห้งโดยใช้ความร้อน) และยังไม่มีผู้ทำการศึกษาเปรียบเทียบว่าระหว่างวิธี freeze dry และ spray dry แบบไหนสามารถคงสารสำคัญในเห็ดได้มากกว่า แต่โดยทฤษฏีแล้วการทำให้แห้งโดยการทำ freeze dry สารจะสลายตัวน้อยกว่า เนื่องจากสารจะไม่ผ่านความร้อนอีกครั้ง จึงลดการสูญเสียสารสำคัญที่ไม่ทนต่อความร้อนได้ และยังไม่มีรายงานว่าเห็ดที่ผ่านวิธี freeze dry มีสารพิษมากกว่าแบบการทำ spray dry ดังนั้นการจะเลือกรับประทานแบบใดนั้นขึ้นอยู่กับความพึงพอใจ แต่ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากชัดเจน และมีแหล่งผลิตที่ได้มาตรฐาน
แหล่งอ้างอิง : pleasehealth