วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556

คัมภีร์ผิวสวย


ผิวแห้ง
ผิวแห้ง เกิดจากต่อมไขมัน ผลิตน้ำมันตามธรรมชาติออกมาน้อย แต่ข้อดี ก็คือ ทำให้รูขุมขนของท่านไม่กว้าง แลดูละเอียดจนน่าอิจฉา แต่จะได้รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม เช่น อาบน้ำอุ่น อากาศหนาว หรือใช้สบู่ที่รุนแรงอาบน้ำ จะทำให้เกิดความแห้งกร้านและระคายเคืองมากกว่าผิวประเภทอื่น และผิวประเภทนี้จะเหี่ยวง่ายเมื่อเข้าสู่วัยชรา จึงจำเป็นต้องได้รับการบำรุงให้ชุ่มชื่นอยู่เสมอค่ะ
ผิวแห้ง (ตามธรรมชาติ ที่ไม่ได้แห้งลอกจากการระคายเคือง) ควรมองหามอยเจอไรเซอร์ (Moisturizers) เช่น เซอรามายด์ (Ceramide) คอเลสเทอรอล(Cholesterol) ไตรกลีเซอไรด์(Triglyceride) โพรพิลีนไกลคอล (Propylene Glycol) และกลีเซอรีน (Glycerine )เพื่อช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นให้มากที่สุด
ถ้าผิวแห้งไม่มาก เลือกครีมบำรุงผิว ชนิด Lotion หรือ Cream ตามความเหมาะสมของสภาพอากาศ หากผิวแห้งลอกรุนแรงอาจจะต้องพึ่ง Moisturizers ที่มีเนื้อเข้มข้นเป็นพิเศษอย่าง Balm หรือเนื้อ Butter และควรมีส่วนผสมของคอเลสเทอรอล และเซอรามายด์ฟื้นฟูผิว ส่วนผลิตภัณฑ์ชำระล้างผิว ควรเลือกชนิดที่อ่อนโยน หรืออาจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กทารกก็ได้ หากแต่คุณมีผิวแห้งและแพ้ง่าย ควรมองหาคำที่บ่งบอกถือการทดสอบแล้วว่าไม่ระคายเคืองเช่น Hypoallergenic(ไฮโปอัลเลอจีนิก) ,For sensitive skin (ฟอร์ เซนซิทิฟ สกิน), Clinically Proven (คลินิคอลลี่ โพรเว้น)หรือ Dermatologically tested (เดอมาโตโลจิคอลลี่ เทสต์)
ผิวมัน
ผิวมัน เป็นผิวที่ค่อนข้างมีปัญหามาก เพราะต่อมไขมันบริเวณใบหน้าจะผลิตน้ำมันออกมามากเกินความจำเป็น ทำให้ใบหน้าแลดูมัน รูขุมขนกว้าง จึงทำให้ฝุ่นละออง และสิ่งสกปรกจึงมาเกาะง่ายขึ้น และนอกจากนั้นต่อมไขมันอาจอุดตันจนเกิดสิวขึ้นได้ ยิ่งในสภาพอากาศร้อนๆ สภาพผิวของคุณก็จะยิ่งแย่ลงไปอีก แต่ข้อดีคือ ผิวคุณจะแก่ช้ากว่าใครเพื่อนเพราะมีน้ำมันคอยให้ความชุ่มชื้นตลอดเวลา
การบำรุงผิวแทบไม่จำเป็นต้องใช้มอยซ์เจอไรเซอร์เพิ่มเติมหากการบำรุงผิวก่อนหน้านี้ อย่างเช่น โทนเนอร์ ที่ปรับสภาพผิวคุณได้ให้ความชุ่มชื้นดีอยู่แล้วก็แทบจะไม่ต้องทาครีมใดๆเพิ่ม เพราะผิวมัน แทบจะไม่ประสบปัญหาเรื่องขาดความชุ่มชื้นเลย แต่ถ้าหากต้องการใช้มอยซ์เจอไรเซอร์ก็ควรเลือกชนิดที่มีน้ำเป็นส่วนผสมหลัก ปราศจากน้ำมัน (Oil Free) ที่ก่อปัญหาผิว โดยปกติแล้ว เนื้อผลิตภัณฑ์อย่าง Gel และ Serum จะเหมาะกับผู้ที่มีผิวมัน ส่วน Lotion ก็ต้องเลือกตัวที่มีเนื้อบางเบาเป็นพิเศษครับ หากต้องการเลือกครีมบำรุงผิวที่สามารถดูดซับความมันส่วนเกินได้ ควรมองหาสารพวก โพลี่ซิลิโคน (Polysilicone )ที่ช่วยทำให้เนื้อผลิตภัณฑ์มีสัมผัสที่บางเบาไม่หนักหน้า และให้ผลทางคอสเมติคแบบ Matte Finish และอีกทั้งยังช่วยดูดซับความมันส่วนเกินได้ค่ะ
ผิวผสม
ผิวผสม จะมีผิวมันที่มองเห็นรูขุมขนกว้าง ในบริเวณ ที-โซน (T-ZONE) ขณะเดียวกันก็มีผิวธรรมดาถึงผิวแห้งบริเวณข้างแก้มด้วย ผิวเช่นนี้ จึงดูแลผิวหน้าได้ยาก แต่ถ้าคุณรู้จักการดูแลอย่างถูกวิธีก็หายห่วงค่ะ ส่วนปัญหาที่พบ คือ ปัญหาสิวบริเวณ หน้าผาก จมูกและคาง และสิวเสี้ยนนั่นเอง
พิ้งกี้อยากบอกคุณว่า ไม่มีผลิตภัณฑ์ใดจะสามารถเลือกบำรุงผิวเฉพาะส่วนได้ (เคลือบผิวที่แห้งลอกและดูดซับความมันในส่วนที่มัน มันเป็นไปมิได้แน่นอน) ดีที่สุดคือ ให้คุณดูแลแยกเป็นส่วน ๆไป โดยใช้มอยซ์เจอไรเซอร์บางเบา ในผิวส่วนที่มีความมันเงา และทามอยซ์เจอไรเซอร์ที่เข้มข้นช่วยเคลือบผิวในส่วนที่แห้งลอก แต่ถ้าผิวที่แก้มไม่แห้ง ก็สามารถใช้ครีมสำหรับผิวมันทาทั่วหน้าได้เช่นกันถ้าขี้เกียจจริงๆก็อนุโลมได้ค่ะ
ผิวธรรมดา
ผิวธรรมดา จัดว่าเป็นผิวที่ทุกคนต้องการ เพราะคุณจะสามารถเห็นผิวที่เรียบเนียน เห็นรูขุมขนไม่ชัด แต่ไม่ละเอียดเท่าคนผิวแห้ง ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องผิวแห้งหรือมันจนเกินไป ส่วนปัญหาเรื่องริ้วรอยหรือสิวอาจมีบ้าง และถ้าอากาศหนาวเย็นหรือร้อนมาก ก็อาจทำให้ผิวแห้งลอกหรือมันได้เช่นกัน
คนผิวประเภทนี้ มักกลุ้มใจในเรื่อง ทำอย่างไรที่จะคงสภาพผิวดีๆแบบนี้ไว้ได้นานๆ เพราะ สภาพผิวของเรานั้นเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา จาก อายุ อุณหภูมิ และแสงแดดที่ทำร้ายผิว
ผิวธรรมดานั้นมีความสมดุลของผิวอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ Moisturizers เพิ่มเติมเป็นพิเศษ แต่ถ้าต้องการบำรุงควรมองหามอยซ์เจอไรเซอร์ที่มีเนื้อบางเบาอย่าง Gel ,Serum หรือ Lotion ที่ไม่เพิ่มน้ำมันบนใบหน้า เพื่อที่จะได้ไม่เป็นสิว

ที่มา : pleasehealth

โรสฮิป (Rose hip) ผลไม้มหัศจรรย์


โรสฮิป กับอาหาร
คนพื้นเมืองอเมริกันมักจะนำผลกุหลาบ มาใช้บริโภคเพื่อทดแทนการขาดวิตามินซี แต่พิ้งกี้คิดว่า วิตามินซีคงจะเหลือน้อยหรือแทบไม่มีเลยค่ะ เพราะเขานำผลสดมาเชื่อมทำเป็นแยม ทำน้ำเชื่อม (น้ำลายไหล สงสัยจะหอมน่าดู) ทำชา ทำเจลลี่ ทำซุป ซึ่งวิธีการที่ใช้ทำนั้นมักจะถูกความร้อน พรากวิตามินซีไปแล้ว แต่ถ้าเป็นเมนูอื่นๆที่ไม่ใช้ความร้อน น่าจะมีวิตามินซีอยู่แน่นอนค่ะ
โรสฮิป กับสรรพคุณทางยา
โรคปวดข้อ ข้ออักเสบ เนื่องจากนักวิจัยชาวเยอรมันและเดนมาร์กพบสาร GOPO® หรือ Galacotolipid (glycoside of mono and diglycerol) ช่วยลดการส่งสัญญาณการทำลายข้อ( Reduce MMP expression) ลดการปวดข้อเพราะยับยั้งการสร้างสารพรอสตาแกลนดิน(Reduce COX-II expression) ลดการชุมนุมของเม็ดเลือดขาวและลดค่าดัชนีการอักเสบในร่างกาย จากการศึกษาพบว่า การรับประทานสารสกัดจากโรสฮิป ในคนไข้โรคข้อเสื่อม และข้ออักเสบรูมาตอยด์ สามารถลดการปวดได้ถึง 82% ใน 3 สัปดาห์ เมื่อเทียบกับยาหลอก (Winther et al. Scand J Rheumatol 2005 ; 34:302-308) โดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ
โรคอื่นๆชาวอังกฤษและเดนมาร์กมักทานชาผลกุหลาบเพื่อช่วยฝาดสมานในโรคท้องร่วง โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ อีกทั้ง เด็กๆชาวอังกฤษและนิวซีแลนด์ มักจะถูกป้อนน้ำเชื่อมจากผลกุหลาบเพื่อป้องกันโรคหวัดและกระตุ้นการไหลเวียนเลือดทั่วร่างกาย
โรสฮิปกับเครื่องสำอาง
น้ำมันสกัดจากผลและเมล็ดของกุหลาบนิยมนำไปผสมในเครื่องสำอางมากมาย โดยเฉพาะเครื่องสำอางบำรุงผิว เพราะอุดมไปด้วยวิตามินซีสูง กรดไขมันจำเป็น วิตามินแร่ธาตุ รวมทั้งกรดเอเอชเอธรรมชาติ จนมีการขนานนามน้ำมันจาก โรสฮิปหรือผลกุหลาบว่า "The oil of youth"


ที่มา : pleasehealth 

รับมือกับเจ้านาย 6 จริต


1. เจ้านายที่มีราคะจริตเด่น
ลักษณะของเจ้านายคุณ จะมีบุคลิกดี มาดดี เป็นที่ชื่นชม พูดจาไพเราะ เข้าได้กับทุกคน เป็นที่ชื่นชอบของทุกคนที่พบเห็น ติดในความสวย ความหล่อ และความอร่อยของรสอาหาร
วิธีรับมือ
งานที่คุณทำส่ง ต้องออกมาละเอียด ประณีต อ่านแล้วรื่นหู ดูแล้วสบายตา ปกติแล้วเจ้านายประเภทนี้มักเข้าใจง่าย อย่าเยอะใส่เขา ปกติจะใจดีไม่ค่อยเตือนในเรื่องต่างๆ แต่ถ้าเตือนแสดงว่าอันตราย ให้รีบสอบถามถึงปัญหาและเตรียมแนวทางแก้ไขไว้ในใจ ปกติมักจะชอบลูกน้องที่หน้าตาดี แต่งตัวดี พรีเซ๊นต์งานดี การตัดสินลูกน้องจึงมักเอนเอียง เราจึงต้องหัดพูดจาให้หวานหู นอบน้อมเคารพ อย่าได้กล้าที่จะวิจารณ์ในที่สาธารณะ มิเช่นนั้นภัยจะมาเร็วกว่าที่คิด หากมีกิจกรรมใดของบริษัทเราควรเข้าร่วมเพื่อเสริมบารมีของเขา เพราะเขาชอบอวดบารมีค่ะ
2. เจ้านายที่มีโทสะจริตเด่น
ลักษณะของเจ้านายคุณ มักเป็นคนโกรธง่าย เคร่งกฎระเบียบมาก พูดตรงไปตรงมา จริงใจ พึ่งพาได้ พูดคำไหนคำนั้น ไม่โลภ
วิธีรับมือ
หึหึหึ ถ้าคุณมีเจ้านายประเภทนี้ ระวังคำพูด การกระทำต่างๆที่อาจทำให้เขาโกรธได้ ประมาณว่าคุณห้ามเถียง แต่ถ้าเขาถามก็ควรตอบแบบไพเราะเสนาะหู เหมือนเอาน้ำเย็นเข้าลูบ แม้ว่า สิ่งที่ท่านเสนอมา จะผิด ในสายตาคนส่วนมาก เราก็ไม่ควรจับผิดหรือแฉในที่แจ้ง แต่ควรใช้วิธีเสนอแนวทางใหม่หรือขอคำแนะนำว่าวิธีแบบนี้ดีมั้ย เจ้านายประเภทนี้เราควรพูดแต่เนื้อหาที่ตรงประเด็น อย่าเถียงข้างๆคูๆ เพราะจริตแบบนี้จับผิดคนเก่งมากอย่างไม่มีใครเหมือน หากเราต้องการชมท่าน ก็ควรชมในสิ่งที่ควรชมจริงๆเพราะท่านกระหายคำชมพอสมควร และเราควรส่งงานให้ตรงเวลาหากทำได้แบบนี้แล้ว รับรองค่ะว่า ท่านจะเจริญก้าวหน้าอย่างแน่นอน เพราะท่านจะไว้ใจเราเป็นอย่างมากและเรียกใช้เราอยู่เสมอ
3. เจ้านายที่มีโมหะจริตเด่น
ลักษณะของเจ้านายคุณ มักจะดูง่วงซึม ตาดูเศร้าๆ ยิ้มง่ายไม่อารมณ์เสีย ไม่โกรธใครง่าย ไม่ชอบเข้าสังคม ไม่ค่อยทุกข์หรือเครียด เป็นคนดีน่าคบ
วิธีรับมือ
ปกติเจ้านายประเภทนี้มักเป็นคนดี สั่งสอนใครไม่ค่อยเป็น และไม่ค่อยสนใจงานที่ลูกน้องส่งเท่าใดนัก (ไม่งานจะดีเริ่ด หรือ ปลวกเรียกพี่ ก็ตาม) ลูกน้องที่อยู่กับเจ้านายแบบนี้มักไม่ค่อยได้พัฒนาตัวเองเท่าใดนัก อาจเป็นเพราะเจ้านายไม่มีอะไรจะสอน หรือมีแต่ถ่ายทอดไม่เป็น ปกติท่านจะมีเรื่องในหัวไม่มาก หากเราสรุปประเด็นให้ท่านเข้าใจก่อนประชุม จะเริ่ดมากค่ะ จะทำให้ท่านได้แสดงศักยภาพของท่านเองในที่ประชุม อย่างไรก็ตามการเสนอแนะ ต้องทำโดยนุ่มนวล รู้ที่ต่ำที่สูง ไม่ยกตนข่มท่าน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง แล้วเราจะเจริญก้าวหน้าอย่างแท้จริง



4. เจ้านายที่มีวิตกจริตเด่น
ลักษณะของเจ้านายคุณ มักชอบพูดน้ำไหลไฟดับ ฟุ้งซ่านแต่โลกของความคิดไม่ใช่โลกความจริง แต่เป็นนักคิดที่มองทะลุปรุโปร่ง ชอบมองโลกแง่ร้าย กลัวคนอื่นเอาเปรียบ จึงมักเห็นข้อผิดพลาดเก่งในแบบที่คนอื่นนึกไม่ถึง ท่านมักหน้าบึ้งไม่ค่อยยิ้ม ชอบคิดว่าตัวเองเก่งไปหมด และชอบผัดวันประกันพรุ่ง
วิธีรับมือ
เจ้านายลักษณะนี้ค่อนข้างเจอเยอะมาก เท่าที่ฟังเพื่อนๆบ่นกันมา ที่เห็นชัดเจนคือ คิดมาก สมองมีหลายเรื่อง แต่ก็เร่งให้ลูกน้องทำทุกเรื่อง (เรื่องแรกเพิ่งสั่งเมื่อวาน วันนี้มาอีกแล้ว อะไรแบบนี้) ลูกน้องจึงรู้สึกเหมือนเทียนลนก้นตลอดเวลา แม้ว่าโครงการมีมากมาย คุณควรที่จะเทิดทูนในความคิดเขาเสมอนะค่ะ เพราะเขามักจะคิดว่าเขาเก่งที่สุด ถ้าคุณพลาดอาจถูกตอกย้ำให้เสียใจได้ สิ่งที่เขาชอบวันนี้ วันข้างหน้าอาจไม่ชอบก็ได้ เอาใจยากค่ะ ปากกับใจไม่ค่อยตรงกัน ถ้าหัวหน้าคุณมีเจ้านายขึ้นไปอีกหลายระดับ บางครั้งผลงานของคุณอาจกลายเป็นผลงานของเขาก็ได้ ถ้าเขาไม่มีจรรยาบรรณพอ เพราะจริตประเภทนี้มักมีความโลภซ่อนเร้นค่ะ หากคุณอยากช่วยเสนอแนะความคิดใหม่ๆแล้ว ต้องรอบคอบค่ะ เพราะถ้าพลาดขึ้นมา คุณจะเป็นแพะรับบาปโดยไม่รู้ตัว สรุปแล้ว งานไหนที่เลี่ยงได้ก็เลี่ยงค่ะ แต่ถ้าต้องทำด้วยกัน ก็ต้องทน และพยายามเอาใจเขา ดูว่าเขาชอบหรือสนใจอะไร แล้วไปหาข้อมูลมาให้ดี พูดแต่ในสิ่งที่เขาสนใจหรือเป็นประโยชน์กับองค์กร แล้วสักวันเขาก็จะได้ใจคุณไปเต็มๆค่ะ (ส่วนมากพบในลูกน้องประเภท ศรีทนได้ อะไรแบบนี้)
5. เจ้านายที่มีศรัทราจริตเด่น
ลักษณะของเจ้านายคุณ จะมีความเป็นผู้นำสูง มีแรงขับเคลื่อนสูง พร้อมเสียสละเพื่อผู้อื่น คิดว่าตัวเองน่าศรัทรา และย้ำในสิ่งที่ตัวเองศรัทราบ่อยๆ เวลาพูดดูมีหลักการและจริงจัง
วิธีรับมือ
เจ้านายเวอร์ชั่นนี้มักชอบมีกฎเกณฑ์เคร่งครัด แต่ไม่ค่อยเป็นสากลเท่าไหร่ เพราะเขาคิดเอาเองค่ะ อย่าไปเถียงหรือชวนทะเลาะเพราะหายนะจะมาถึงตัว แต่ข้อดีคือ เป็นผู้ที่ทุ่มเทให้กับงาน ต่อองค์กรที่เขารัก ถ้าคุณเป็นลูกน้องเขา ก็ต้องดูทุ่มเทไปด้วยถึงจะเกิดในสายตาเขาค่ะ บางครั้งเขาอาจเอนเอียงไปเข้าข้างใครบางคน ถ้าใครคนใดคนหนึ่งมีความสามารถหรือทำให้เขาประทับใจ ทุกอย่างจะราบรื่นไปหมด แต่ถ้าฝ่าฝืนกฎเขาขึ้นมาเมื่อไหร่ จะไม่มีแม้กระทั่งความเมตตาให้คุณเลยหล่ะค่ะ
6. เจ้านายที่มีพุทธจริตเด่น
ลักษณะของเจ้านายของคุณ จะเป็นเจ้านายในอุดมคติ คิดอะไรอย่างมีเหตุมีผลตามความเป็นจริง ไม่เอนเอียง พร้อมรับความคิดเห็นที่แตกต่างมาพิจารณา ช่างสังเกต มีความเมตตา หน้าตาผ่องใสไม่อมทุกข์
วิธีรับมือ
เจ้านายเวอร์ชั่นนี้ พิ้งกี้อยากทำงานด้วยเป็นอย่างยิ่ง ถามว่ามีมั้ยในโลกนี้ มีสิค่ะ แต่เขาก็จะมีจริตอื่นๆปนมาด้วยค่ะ ไม่มีใครเพอร์เฟคหรอกค่ะ หัวหน้าแบบนี้เป็นคนมีธรรมะ มีบารมี พึ่งพาได้ มีแต่ความร่มเย็นและความเมตตา พร้อมที่จะปั้นผู้ที่มีความสามารถทุกคนให้ไปถึงจุดสูงสุดค่ะ แต่เราก็ต้องทำตัวให้มีคุณค่า ขยันหาความรู้ใส่ตัว คิดก่อนถามเสมอ และรักองค์กรอย่างจริง

ที่มา : pleasehealth

10 โรคพบบ่อย ที่แฝงกายมาพร้อมกับไอหนาว


1. โรคไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ ทั้งสายพันธุ์ เอ,บี, 2009 และไข้หวัดตามฤดู(หนาว) กำลังระบาดอยู่ในปัจจุบัน และแนวโน้มมากขึ้นในช่วงเปิดเทอมนี้ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในน้ำมูก น้ำลาย สามารถติดต่อกันได้ทางการหายใจ ไอ หรือจามรดกัน เชื้อมักแพร่กระจายในสถานที่แออัดไม่มีอากาศถ่ายเท เช่น โรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้า ตลาดสด โดยอาการจะเริ่มต้นจากการมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย น้ำมูกไหล ไอ จาม เจ็บหรือแสบคอ บางคนอาจหนาวสั่น แต่หากเป็นการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ก็มักจะมีอาการรุนแรงกว่าการติดหวัดธรรมดา คือไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะมาก ปวดตามกล้ามเนื้อ ตามกระดูก คลื่นไส้ กินได้น้อยลง ร่วมกับอาจมีภาวะขาดน้ำหากมีอาการอาเจียนร่วมด้วย และควรระวังโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นตามมา เช่น ปอดบวม หลอดลมอักเสบ คออักเสบ ในเด็กเล็กและผู้สูงอายุจะมีความเสี่ยงมากกว่าช่วงวัยอื่นๆ
120725_story1_feature12. โรคหลอดลมอักเสบ เป็นโรคที่อาจเกิดตามหลังไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส จะมีอาการไอและไอมากตอนกลางคืน โดยระยะแรกจะไอแห้งๆ มีเสียงแหบและเจ็บหน้าอกมาก เสมหะมีสีเหลืองหรือเขียว มีไข้ อ่อนเพลีย ในเด็กอาจไอมากจนอาเจียน บางรายมีอาการคล้ายหอบหืดจากภาวะหลอดลมหดเกร็งตัว โดยปกติโรคนี้สามารถหายได้เองภายใน 1 - 3 สัปดาห์ แต่บางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนหากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม ก็อาจลุกลามถึงขั้นปอดอักเสบได้ การรักษาเบื้องต้น คือการพักผ่อนให้มาก ควรดื่มน้ำอุ่นมากๆ เพื่อช่วยให้เสมหะระบายออกได้ง่ายขึ้น หลีกเลี่ยงดื่มน้ำเย็น งดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงอยู่ในที่ ที่มีอากาศเสียหรือฝุ่นละอองมากๆ
3. โรคปอดบวมหรือปอดอักเสบ เป็นโรคที่อาจเกิดจากจากภาวะแทรกซ้อนของโรคไข้หวัดหรือติดจากเชื้อโดยตรงได้ มีหลายคำที่บางทีหมอเรียกกันอาจฟังดูสับสนทั้ง ปอดอักเสบ นิวโมเนีย ภาวะปอดติดเชื้อหรือ ปอดบวม ซึ่งหมายรวมคือโรคเดียวกันนั่นเอง มักพบในเด็ก สามารถติดต่อได้ทางการหายใจ น้ำมูก น้ำลาย และใช้ของร่วมกัน มีระยะฟักตัวของโรค 1-3 วัน และอาจนานถึง 1 สัปดาห์ในบางราย โรคปอดบวมเป็นโรคที่ควรระวังเป็นอย่างมาก เพราะในปีที่ผ่านมาพบว่าโรคนี้เป็น สาเหตุการตายอันดับหนึ่งของกลุ่มโรคติดเชื้อในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กแรกเกิดถึงขวบปีแรก อาการจะเกิดตามหลังโรคหวัดประมาณ 2-3 วัน ดังนั้นหากพบว่าสงสัยหรือไม่แน่ใจเกี่ยวกับอาการโดยเฉพาะในเด็กเล็กให้ควรนำมาปรึกษาแพทย์ เพื่อรับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ
4. โรคหัด พบมากในเด็กอายุตั้งแต่ 1-6 ปีผู้ใหญ่ที่ไม่เคยติดเชื้อหรือไม่มีภูมิก็สามารถติดได้ในช่วงที่มีความชุกของการระบาดในช่วงอากาศเย็นๆนี้ เชื้อสามารถติดต่อได้จากการไอ จามรดกัน หรือได้รับละอองเสมหะ น้ำมูก น้ำลายเข้าไป โรคหัดมักเกิดในช่วงฤดูหนาวยาวต่อช่วงฤดูร้อน ปัจจุบันมีวัคซีนสำหรับฉีดป้องกัน อาการของโรคจะเริ่มจากมีไข้ น้ำมูกไหล ไอ ตาแดง อาการจะรุนแรงมากขึ้น จนมีอาการปวดเมื่อยตัว ถ่ายเหลว ผื่นของไวรัสหัดจะขึ้นราววันที่ 4 หลังรับเชื้อ หลังจากนั้นไข้จะค่อยๆลด เมื่อผื่นกระจายทั่วตัว ระหว่างนั้นต้องระวังการเสียชีวิตจากโรคแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ อุจจาระร่วง สมองอักเสบ และภาวะทุพโภชนาการ
5. โรคหัดเยอรมัน เชื้อไวรัสหัดเยอรมันทำให้มีไข้ต่ำจนถึงไข้สูง มีผื่นแดงคล้ายหัด แต่ลักษณะผื่นจะใหญ่และเป็นกลุ่มๆกระจายตัวห่างกว่า ในเด็กเล็กจะมีอาการไม่รุนแรงเท่าในผู้ใหญ่ โดยเฉลี่ยจะมีอาการประมาณ 1-5 วัน มีไข้ ผื่นแดงตามตัว อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร สิ่งสำคัญคือ ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดการติดเชื้อหรือแพร่กระจายในระหว่างการตั้งครรภ์
6. โรคอีสุกอีใส พบว่ามักเกิดในเด็กและผู้ใหญ่ที่ไม่เคยติดเชื้อมาก่อน อาการแรกเริ่มจะมีไข้ต่ำๆเหมือนไข้หวัด หลังจากนั้นจะมีผื่นแดง ตุ่มนูนขึ้น และจะเปลี่ยนเป็นตุ่มน้ำใสประมาณ 2-3 วันนับตั้งแต่เริ่มมีไข้ หลังจากนั้นตุ่มพองใสก็จะกลายเป็นตุ่มหนอง แล้วค่อยๆเริ่มแห้งตกสะเก็ด ทั้งนี้ ผื่นอาจขึ้นได้ในคอ ตา และปาก ทำให้กินอาหารได้น้อย เกิดอาการขาดน้ำ โดยทั่วไปหากได้รับการดูแลที่เหมาะสม โรคจะสามารถหายได้โดยตัวเองโดยไม่เกิดโรคแทรกซ้อน
7. โรคอุจจาระร่วง สาเหตุเกิดได้จากเชื้อไวรัสหลายชนิด และมักพบผู้ป่วยได้มากในหน้าหนาว สามารถติดต่อได้จากการดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารที่มีเชื้อปนเปื้อนเข้าไป นอกจากนี้ยังติดต่อทางน้ำลาย น้ำมูกได้เช่นกัน ลักษณะอาการจะถ่ายเป็นน้ำหรือถ่ายเหลวบ่อยครั้ง แม้อาการไม่รุนแรง แต่อาจมีอาการขาดน้ำรุนแรงได้ในบางราย ภาวการณ์การติดเชื้อมักพบได้ในชุมชน โรงเรียน ค่ายทหารหรือศูนย์ฝึกที่อยู่รวมกันแออัด ศูนย์ฝากเลี้ยงเด็ก หรือสถานที่ที่มีเด็กอยู่รวมกันเป็นจำนวนมากๆ ดังนั้น การออกกำลังกาย เลือกรับประทานอาหารปรุงสุก ดื่มน้ำสะอาด ก็จะเป็นการป้องกันโรคอุจจาระร่วงได้
8. โรคตาแดงหรือเยื่อบุตาอักเสบหน้าหนาว เป็นโรคที่พบได้บ่อยเช่นกัน สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส มักเป็นคนละชนิดกับโรคตาแดงที่เกิดการระบาดในช่วงหน้าร้อน การสัมผัสกับเชื้อมักเกิดจากมือที่สกปรก ไปหยิบจับหรือสัมผัสกับขี้ตา น้ำตาของผู้ที่เป็นโรคแล้วมาป้ายตาตัวเอง โรคตาแดงหรือเยื่อบุตาอักเสบสามารถระบาดได้ง่ายโดยเฉพาะในเด็กนักเรียน ส่วนการป้องกันให้หมั่นล้างมือให้สะอาด ไม่เอามือขยี้ตา ไม่คลุกคลีกับคนเป็นโรค เมื่อเป็นโรคควรหยุดงานหรือหยุดเรียน เพื่อไม่ไห้ติดต่อไปยังผู้อื่น
120725_story1_feature29. โรคผิวหนังแห้งอักเสบ เมื่อผิวกระทบอากาศเย็น ทำให้มีความชื้นสัมพัทธ์น้อยและแห้ง การสูญเสียน้ำออกจากผิวหนังก็จะเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ผิวหนังเกิดปัญหาแห้งหยาบ เป็นขุย แตก ปัญหานี้ถือว่าเป็นปัญหาที่ก่อความรำคาญ เพราะเมื่อผิวแห้งมากจะรู้สึกคัน ยิ่งอากาศหนาวมากๆ จะทั้งคัน ยิ่งเกายิ่งมัน ก็ยิ่งแสบร้อนและคัน หากดูแลไม่ดีอาจลุกลามเกิดแผลอักเสบจากการเกาจนเลือดออก และมีสิ่งสกปรกเข้าแผลจนเกิดการติดเชื้ออักเสบขึ้นได้ การป้องกัน คือการรักษาความชุ่มชื้นจากภายในและภายนอกร่วมกัน โดยการดื่มน้ำหรือน้ำผลไม้ให้มากขึ้น เปลี่ยนรูปแบบและวิธีการอาบน้ำ ใครที่ชอบอาบน้ำอุ่น พึงปฏิบัติโดยลดอุณหภูมิของน้ำที่อาบลงไม่ควรอาบน้ำร้อนเกิน 34 องศาเซลเซียส ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์หลังอาบน้ำ หากมีผิวแห้งมากๆ แนะนำให้ใช้น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์จะช่วยให้ผิวชุ่มชื้นได้นาน และหากผิวหนังแห้งอักเสบรุนแรงหรือคันมากๆ ให้รีบไปพบแพทย์
10. โรคผิวหนังที่เกิดจากเสื้อกันหนาวหรือเครื่องนุ่งห่มมือสอง เช่นเชื้อรา กลาก เกลื้อน การแพ้ทางผิวหนัง หิด เหา โลน หรือการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดต่างๆ ดังนั้นผู้ที่นิยมชมชอบเสื้อผ้ามือสองต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะแม้ว่าราคาของเสื้อมือสองจะค่อนข้างถูกกว่า แต่ก็ไม่ทราบแน่ชัดถึงที่มา จึงมั่นใจไม่ได้ว่าจะมีความสะอาดเพียงพอหรือไม่ ไม่รู้ว่าสักมากี่ครั้ง ใส่มากี่มือ ระยะเวลาระหว่างเปลี่ยนมือเจ้าของ อาจนำพาเชื้อโรคร้ายต่างๆมาสู่ผิวหนังเราได้อีกด้วย ดังนั้น จะต้องรู้ที่มาของเสื้อผ้าเหล่านั้นเสียก่อนถ้ามีความเป็นไปได้ หรือ และต้องทำความสะอาดให้ถูกวิธี เช่น การซักล้างหลายๆครั้ง การต้มฆ่าเชื้อก่อนการสวมใส่ การตรวจสอบรอยด่างดำ รอยคราบสารคัดหลั่ง รวมไปถึงกลิ่นอับชื้นที่ติดอยู่ เพราะนอกจากเชื้อราที่พบได้บ่อยแล้ว ยังมีโรคตับอักเสบหรือไวรัสบางชนิด อาจส่งผลร้ายต่อผิวหนังและติดต่อได้เช่นกัน หากผลีผามนำมาสวมใส่โดยไม่ได้ทำความสะอาดก่อน ดังนั้นควรต้มเสื้อผ้าเหล่านี้ให้เดือด ซักล้างให้สะอาดสักสองถึงสามน้ำ ฆ่าเชื้อก่อนและนำไปตากแดดให้แห้งสนิท ก็จะช่วยสร้างความมั่นใจมากขึ้นเมื่อนำมาสวมใส่
การเตรียมตัวพร้อมรับมือกับ 10 โรคร้าย ที่อาจแฝงมากับหน้าหนาวในปีนี้ จึงควรรู้จักกับโรคต่างๆเอาไว้ให้ รู้จักวิธีการป้องกันและดูแลรักษาในเบื้องต้น กินของร้อน รับประทานอาหารที่สุกและสะอาด ในสัดส่วนที่เหมาะสม ครบทั้ง 5 หมู่ ใช้ช้อนกลางรับประทานอาหารหากต้องรับประทานอาหารร่วมกัน ล้างมือบ่อยๆให้เป็นนิสัย สวมใส่หน้ากากอนามัยหากตนเองติดเชื้อหรือป้องกันการติดเชิ้อจากผู้อื่นเพื่อป้องกันการไอจามรดใส่กัน ลดการแพร่กระจายเชื้อ หมั่นแบ่งเวลาให้มีการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม หลีกเลี่ยงสัมผัสกับผู้ป่วยที่ไม่สบาย คุณแม่ก็ควรที่จะเลือกเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพื่อให้มีภูมิต้านทานกับทารก ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจายไปทั่ว นอกจากนี้แล้ว การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโดยการฉีดวัคซีนก็อาจยังถือว่ามีความจำเป็น ทั้งวัคซีนป้องกันโรคอีกสุกอีใส โรคหัด หัดเยอรมัน คางทูม และไข้หวัดใหญ่ หากสามารถทำได้ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ การเตรียมตัวเพียงไม่กี่ข้อนี้ จะถือว่าเป็นคาถาวิเศษสำหรับป้องกันโรคที่แฝงมากับหน้าหนาวในปีนี้ได้เป็นอย่างดีทีเดียว


ที่มา : pleasehealth

อาหารต้านการอักเสบ


การเกิดริ้วรอยบนผิวหน้าให้เห็นแล้วเจ็บปวดผิวใจนั้น เกิดจากหลายกลไกทั้งปัจจัยภายในและภายนอก กลไกจากภายในที่สำคัญคือ การจู่โจมทำลายคอลลาเจนจากกองทัพอนุมูลอิสระ และการอักเสบซ่อนเร้นที่เกิดขึ้นโดยเราไม่รู้ตัว สารก่อการอักเสบในระดับเซลล์ถูกกระตุ้นได้จากหลายทาง แสงแดดที่แผดเผา หรือการรับประทานอาหารที่ผิดวิธี ก็ล้วนก่อให้เกิดการสร้างสารก่อการอักเสบขึ้นมาได้ เจ้าสารก่อการอักเสบที่ถูกสร้างขึ้น จะไปกระตุ้นเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ย่อยสลายคอลลาเจน เมื่อคอลลาเจนถูกทำลายมาก ถูกสร้างขึ้นมาใหม่น้อย ริ้วรอยก็ปรากฏขึ้นบาดตาบาดใจ
การรับประทานอาหารเพื่อชะลอวัย ต้องเน้นไปที่สองกลไกสำคัญคือ ลดการเกิดอนุมูลอิสระ และลดการอักเสบซ่อนเร้น ในบทความนี้หมอจะขอเน้นไปที่การรับประทานเพื่อต้านการอักเสบซ่อนเร้น หรือที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า Anti-Inflammatory Diet การรับประทานเพื่อต้านการอักเสบนี้ นอกจากจะช่วยชะลอริ้วรอยที่ผิวพรรณแล้ว ยังช่วยชะลอริ้วรอยที่หัวใจ นั่นคือ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจได้ด้วย (เพราะการอักเสบซ่อนเร้นก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ) เรียกว่า ผิวสวยใส หัวใจแข็งแรง จัดครบกันเลยทีเดียว
การรับประทานเพื่อต้านการอักเสบ อาจสรุปเป็นหลักง่ายๆได้เป็นสูตร “ลดสาม เพิ่มสอง” ตามทิปต่อไปนี้ค่ะ
  • ลดหนึ่ง คือ ลดการรับประทานอาหารที่มีไขมันทรานส์ และกรดไขมันโอเมก้า6สูง ได้แก่ น้ำมันพืช อาหารทอด เนื้อแดง(เนื้อหมู เนื้อวัว) ขนมที่บรรจุในหีบห่อสำเร็จรูปเช่น คุ้กกี้ แคร็กเกอร์ ขนมกรุบกรอบ
  • ลดสอง คือ ลดอาหารประเภทแป้งขัดขาว เช่น ขนมปังขาว ขนมเค้ก น้ำตาล ไอศครีม เส้นพาสต้า ข้าวขาว (หันมารับประทานเป็นข้าวกล้องแทน)
  • ลดสาม คือ ลดการรับประทานอาหารที่เราย่อยได้ไม่ดี ซึ่งต่างกันไปในแต่ละคน เช่น บางคนอาจขาดเอนไซม์ย่อยน้ำตาลในนม ดื่มนมแล้วท้องเสีย ก็ควรงดดื่ม ไม่ควรฝืนดื่มต่อไป • เพิ่มหนึ่ง คือ เพิ่มการรับประทานอาหารที่กรดไขมันโอเมก้า3สูง เช่น ปลาทะเลน้ำลึกอย่างแซลมอน ทูน่า หรือปลาน้ำจืดแบบไทยๆอย่าง ปลาสวาย ปลากระพงแดง ปลาทู ปลาอินทรีย์ ปลาช่อน รวมถึงเมล็ดแฟล็กซ์ และถั่ววอลนัท
  • เพิ่มสอง คือ เพิ่มการรับประทานเครื่องเทศต่างๆที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ เช่น ออริกาโน่ ขมิ้น ขมิ้นชัน ขิง โรสแมรี่ ขยันใส่เครื่องเทศเหล่านี้ในสูตรอาหารต่างๆ นอกจากจะได้รสชาตที่ดีแล้ว ยังได้ต้านการอักเสบไปในตัว
ขอเพียงรู้จักรับประทานอย่างมีสติ และนำสูตร “ลดสาม เพิ่มสอง” เพื่อต้านการอักเสบไปใช้ คุณก็สามารถชะลอวัยให้อ่อนเยาว์จากภายในสู่ภายนอกสไตล์แอนไทเอจจิ้งได้แล้วค่ะ

อ้างอิง
1. Rakel D and Rindfleisch A. Inflammation: Nutritional, Botanical, and Mind-Body Influences. Southern Medical Journal. 98(3):302-10, March 2005.


ที่มา : pleasehealth

สาวผอมมากแต่อยากออกกำลัง


สำหรับคนผอมที่อยากเพิ่มน้ำหนัก หมอเคยเขียนถึงหลักการรับประทานไปแล้วในบทความตามลิงค์นี้ ทำอย่างไร กินเท่าไรก็ยังผอม
หลักการโดยทั่วไปคือ พยายามรับประทานให้บ่อย เน้นอาหารแคลอรี่สูง(แต่มีประโยชน์)เช่น เนยถั่ว อะโวคาโด ถั่วอบ น้ำมันมะกอก ในกรณีของคุณ Lynn หากอยากออกกำลังและปรับรูปร่างให้ดูดีขึ้น อาจเพิ่มโปรตีนดีเช่น ปลา ไข่ขาว เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ให้มากขึ้น และออกกำลังตามนี้ค่ะ
  1. ออกกำลังแบบแอโรบิค เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ จักรยาน เต้นแอโรบิค การออกกำลังแบบนี้ไม่ได้ช่วยเพิ่มน้ำหนัก แต่จำเป็นต้องทำ เพื่อรักษาสุขภาพ โดยแบ่งออกครั้งละ 30 นาที รวมให้ได้ 150นาที/สัปดาห์ เพื่อป้องกันไม่ให้ผอมลง คุณLynnต้องรับประทานอาหารเพิ่ม เพื่อชดเชยการเผาผลาญในส่วนนี้ โดยอาจรับประทานเพิ่มเป็นน้ำผลไม้ปั่นกับโยเกิร์ตรสธรรมชาติ ซึ่งจะได้ทั้งพลังงาน โปรตีนดี และสารต้านอนุมูลอิสระ
  2. ออกกำลังสร้างกล้ามเนื้อ ปัญหาที่ผู้หญิงไทยหลายคนผอมมากจนใส่เสื้อผ้าไม่สวยนั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากไม่มีกล้ามเนื้อเลย คุณLynnจึงควรหันมาออกกำลังเพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อบ้าง โดยเน้นกล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่จะช่วยปรับรูปร่างให้ดีขึ้น คือ กล้ามเนื้อไหล่ กล้ามเนื้ออก และกล้ามเนื้อสะโพก ตามคลิปด้านล่างค่ะ
    • ท่าสำหรับกล้ามเนื้อบริเวณสะโพก http://www.youtube.com/watch?v=UXJrBgI2RxA 
    • ท่าสำหรับกล้ามเนื้อไหล่ (อาจใช้หนังยางร้อยเป็นเส้นยาวเป็นอุปกรณ์) http://www.youtube.com/watch?v=EY2tNBOmvGs
    • ท่าสำหรับกล้ามเนื้ออกและไหล่ http://www.youtube.com/watch?v=Q7cPaJZoOng จะเห็นว่าการออกกำลังเพื่อโทนกล้ามเนื้อทั้งสามท่า ไม่ได้มีการใช้ดัมบ์เบลล์ แต่จะใช้น้ำหนักตัวเราเองเป็นแรงต้าน ดังนั้น การฝึกท่าเหล่านี้จะไม่ทำให้กล้ามเนื้อใหญ่ขึ้นมาก จนดูล่ำเป็นนักกล้ามอย่างแน่นอน
    นอกจากการออกกำลังทั้งสองประเภทข้างต้นนี้ ยังแนะนำให้ออกกำลังในแบบที่ช่วยคลายกล้ามเนื้อและคลายเครียด เช่น โยคะ ร่วมด้วยในวันหยุดสุดสัปดาห์ เพียงเท่านี้คุณ Lynn ก็จะสุขภาพดี หุ่นสวย และกระฉับกระเฉงขึ้นได้อย่างแน่นอนค่ะ


    พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล

    ที่มา : pleasehealth

    ความจริงและความเชื่อผิดๆ กับเรื่องการออกกำลังกาย


    สำหรับคนที่ไม่เคยออกกำลังกายเลย แต่กำลังอยากจะปรับเปลี่ยนตัวเอง สิ่งที่ต้องเตรียมเป็นอย่างแรกสุดคือ การเตรียมความพร้อมของจิตใจและการตัดสินใจที่แน่วแน่ว่า “นับจากวันนี้ บัดนี้เป็นต้นไป จะปรับเปลี่ยนและพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ”
    หัวใจสำคัญสำหรับคนที่จะเริ่มต้นออกกำลังกายคือ การตั้งแนวทางการออกกำลังกายที่ง่าย เจาะจง และวัดผลได้ เช่น ตั้งเป้าเริ่มแรกของการออกกำลังกายไว้ที่ วิ่ง 10 นาทีต่อวัน อาทิตย์ละ 2 วัน ด้วยแนวทางที่ง่าย (วิ่งแค่เพียง 10 นาที อาทิตย์ละ 2 วัน) เจาะจง (ออกกำลังกายโดยการวิ่ง) และวัดผลได้ (ถ้าถึง 10 นาทีเป็นอันว่าสำเร็จ) ก็จะทำให้เกิดความรู้สึกถึงความสำเร็จ อันจะนำไปสู่กำลังใจที่จะก้าวไปสู่ขั้นการออกกำลังกายที่ยาก หรือมีความหนักมากขึ้นและระยะเวลาที่ยาวนานมากขึ้น
    รูปแบบการออกกำลังกายโดยพื้นฐานจะมีอยู่ 2 ชนิดหลักๆคือ Aerobic training และ Strength training ซึ่งทั้งในผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ และที่เพิ่งเริ่มออกกำลังกาย ก็ควรจะที่ออกกำลังกายในทั้ง 2 รูปแบบนี้เช่นเดียวกัน หากแต่ในผู้ที่เพิ่งเริ่มออกกำลังกาย ควรจะเริ่มจากโปรแกรมที่ง่าย เจาะจง และวัดผลได้จริง ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น
    ออกกำลังกาย เวลาไหนดีที่สุด การเผาผลาญและประสิทธิภาพของร่างกายในแต่ละช่วงของวันต่างกันหรือไม่
    ในทางการวิจัย ไม่มีผลการศึกษาที่ยืนยันได้อย่างแน่ชัดว่า การออกกำลังกาย ณ ช่วงเวลาหนึ่ง จะมีประโยชน์หรือมีประสิทธิภาพมากกว่าการออกกำลังกายในอีกช่วงเวลาหนึ่งแต่อย่างใด อีกทั้งยังมีปัจจัยอื่นๆเช่น นิสัยและความชอบส่วนบุคคลและไลฟ์สไตล์ เข้ามามีอิทธิพลอีกทางหนึ่ง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการออกกำลังกายให้ได้ประโยชน์นั้นจะต้องเป็นการออกกำลังกายที่สม่ำเสมอและไม่กระทบต่อกิจกรรมอื่นๆ การหาช่วงเวลาในการออกกำลังที่เหมาะสมในแต่ละบุคคลและเป็นช่วงเวลาที่สามารถออกกำลังกายได้เป็นประจำจึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำ เช่น ในคนที่มีภารกิจระหว่างวันมาก และเลิกงานช้า อาจจะแบ่งเวลาช่วงก่อนที่จะไปทำงานหรือทำกิจกรรมอื่นๆในวันนั้น ไปออกกำลังกายสักครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง ในทางตรงกันข้าม สำหรับบางคนที่นาฬิกาในตัวไม่ใช่ประเภทที่เอื้ออำนวยให้ตื่นเช้า และมีข้อจำกัดเรื่องเวลาในการเดินทาง ก็อาจจะไปออกกำลังกายในช่วงเย็นหลังเลิกงาน หรือแม้กระทั่งช่วงพักกลางวันก่อนทานข้าวกลางวันก็ได้เช่นกัน
    ควรรองท้องด้วยอะไรก่อนการออกกำลัง และหลังออกกำลังต้องพักนานเท่าไร จึงจะรับประทานได้
    ก่อนออกกำลังกาย ควรจะทานอาหารโดยเฉพาะในกลุ่มคาร์โบไฮเดรต เช่น ขนมปัง ซีเรียล หรือกล้วยสักลูก เพื่อให้ร่างกายมีพลังงานเพียงพอไปใช้สำหรับออกกำลังกาย โดยเฉพาะกับคนที่ออกกำลังกายในช่วงเช้า เพราะพลังงานที่เราได้มาจากอาหารที่กินเมื่อเย็นวันก่อนหน้า จะถูกใช้ไประหว่างที่เรานอนหลับ และอาจจะเหลือไม่เพียงพอต่อการใช้ในการออกกำลังกายในช่วงเช้า อันจะนำซึ่งอาการหน้ามืดและวิงเวียนระหว่างออกกำลังกายได้ โดยหากจะทานอาหารเป็นมื้อ ควรทานอาหารในปริมาณปกติก่อนออกกำลังกายประมาณ 2 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย แต่หากต้องการออกกำลังกายหลังจากทานอาหารในระยะเวลาราว 1 ชั่วโมง ก็ควรที่จะเตรียมพลังงานด้วยการเลือกทานอาหารเบาๆ ที่ให้พลังงานในรูปแบบของคาร์โบไฮเดรต เช่น น้ำผลไม้ หรือสปอร์ตบาร์ เป็นต้น
    การทานอาหารหลังจากออกกำลังกายเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จำเป็นจะต้องให้ความสำคัญ เพื่อให้ร่างกายมีสารอาหารและพลังงานไปชดเชยส่วนที่สูญเสียไปจากการออกกำลังกาย ควรจะทานอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต เช่น ถั่ว เนื้อสัตว์ต่างๆ หรืออาหารมื้อปกติภายในราว 2 ชั่วโมงหลังจากออกกำลังกาย นอกจากการกินอาหาร การดื่มน้ำที่เหมาะสมทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการออกกำลังกายก็เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงอยู่เสมอ เพื่อป้องกันอาการขาดน้ำและรักษาระดับของเหลวภายในร่างกาย และหากเป็นการออกกำลังกายที่ยาวนานกว่า 60 นาที การดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่ก็จะช่วยรักษาสมดุลย์ของ เกลือแร่ และ electrolyte ภายในร่างกายเพิ่มด้วยอีกทางหนึ่ง
    การออกกำลังทำให้กินจุขึ้น จริงหรือไม่คะ
    โดยปกติแล้ว การออกกำลังกายจะทำให้ความอยากอาหารของร่างกายน้อยลง หากแต่ในบางรายอาจจะเกิดความรู้สึกอยากกินอาหารเพิ่มขึ้นหลังการออกกำลังกาย และกลายเป็นว่ากินเข้าไปมากกว่าที่เผาผลาญไปจากการออกกำลังกายเสียด้วยซ้ำ ซึ่งอาการอยากอาหารที่มากเกินกว่าความต้องการในการชดเชยพลังงานที่สูญเสียไปตามปกตินั้น เกิดจากกระบวนการของจิตใต้สำนึกที่อยากจะให้รางวัลกับตัวเองกับความสำเร็จในการบังคับตนเองให้ออกกำลังกายออกกำลังกาย ซึ่งการให้รางวัลที่ง่าย ได้ตามใจตนเอง และสอดคล้องกับพฤติกรรมของร่างกายมากที่สุดทางหนึ่งก็คือการกินจนมากเกินความจำเป็นนั่นเอง
    เพื่อแก้ไขความรู้สึกอยากอาหารเพื่อให้รางวัลตนเองหลังจากการบังคับตนเองให้ออกกำลังกาย การสร้างนิสัยการออกกำลังอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นทางออกที่ถูกต้องที่สุด เมื่อสร้างนิสัยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอได้แล้ว เราก็จะไม่รู้สึกถึงการถูกบังคับให้ออกกำลังกายอีกต่อไป และความรู้สึกอยากให้รางวัลตนเองด้วยการกินจนเกินความพอดีก็จะหายไปในที่สุด
    การวิ่งทำให้เข่าเสื่อมหรือไม่ และจะป้องกันได้อย่างไร
    ผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการวิ่ง และการเสื่อมของเข่าในหลายงานวิจัยพบว่า การวิ่งที่ถูกวิธี และด้วยปริมาณที่เหมาะสม นอกจากจะไม่ได้เป็นสาเหตุให้เกิดอาการเข่าเสื่อมแล้ว ยังมีส่วนช่วยให้สุขภาพของข้อต่อเข่ามีความแข็งแรงยิ่งขึ้น ผิดกับที่เข้าใจกันโดยทั่วไป ทั้งนี้เพราะการวิ่งในปริมาณและรูปแบบที่เหมาะสมจะช่วยให้เกิดการสร้างเสริมของโปรตีนในกระดูกอ่อนที่ข้อต่อหัวเข่า ทำให้กระดูกอ่อนเหล่านั้นแข็งแรงขึ้น มีการซ่อมแซมส่วนที่เสียหายหรือเสื่อมได้ดีขึ้นกว่าปกติ
    อย่างไรก็ตาม การวิ่งก็อาจจะก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บที่ข้อต่อหัวเข่าได้เช่นกัน ซึ่งอาจจะพบได้จากผู้ที่มีน้ำหนักเกินและทำการวิ่งโดยที่กล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ โดยเฉพาะต้นขาแข็งแรงไม่เพียงพอ หรือในกรณีที่ไม่มีการอบอุ่นร่างกาย และไม่มีการเตรียมความพร้อมของข้อต่อก่อนที่จะวิ่ง ก็อาจทำให้เกิดการฉีกขาดของกระดูกและเนื้อเยื่อบริเวณหัวเข่าได้
    ผู้หญิงหลายคนไม่กล้าออกกำลังด้วยการวิ่ง เพราะกลัวว่าจะทำให้ขาใหญ่ เป็นความจริงหรือไม่คะ
    การวิ่งโดยปกติที่ไม่ใช่การวิ่งในลักษณะสปรินต์จะทำให้กล้ามเนื้อมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในขณะเดียวกันการวิ่งมีส่วนช่วยในการกำจัดไขมันส่วนเกินในส่วนต่างๆ ของร่างกาย รวมไปถึงบริเวณขา ซึ่งการที่ไขมันบริเวณขาลดลง ทำให้ขนาดของขาดูเล็กลง แม้จะมีมวลและขนาดของกล้ามเนื้อที่ใหญ่ขึ้นบ้างก็ตาม
    ในทางตรงข้าม การหลีกเลี่ยงการวิ่งออกกำลังกายเพราะเกรงว่าขาจะใหญ่นั้น กลับเป็นการเปิดโอกาสให้ไขมันส่วนเกินมาสะสมอยู่บริเวณขา ซึ่งนอกจากจะทำให้ขามีขนาดที่ใหญ่เพราะไขมันที่สะสม ยังทำให้ขาไม่แข็งแรง และเสี่ยงต่อการเสื่อมของข้อต่ออันเป็นผลสืบเนื่องมาจากไม่สามารถรับน้ำหนักตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    121213_story1_feature2
    ถ้าผู้หญิงอยากยกน้ำหนักให้หุ่นดี แต่ไม่อยากจะล่ำ ควรมีหลักการอย่างไร
    - See more at: http://www.pleasehealth.com/index.php?option=com_content&view=article&id=853:2013-07-22-05-53-41&catid=3:cover-story&Itemid=5#sthash.189Dz67L.dpuf

    โดยทั่วไป มักจะเข้าใจกันไปว่าการออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน เช่นการยกน้ำหนัก จะส่งผลกล้ามเนื้อใหญ่ มีร่างกายที่ล่ำ ทำให้ผู้หญิงหลายๆคนหลีกเลี่ยงที่จะออกกำลังกายในลักษณะนี้ ซึ่งจะส่งผลในทางลบแทน เช่น กล้ามเนื้อไม่แข็งแรง หรืออาจจะรวมไปถึงอาการกระดูกพรุน โดยเฉพาะในเพศหญิง
    อันที่จริงแล้ว การออกกำลังกายแบบมีแรงต้านสามารถจะทำให้กล้ามเนื้อมีขนาดที่ใหญ่โต หรือทำให้กล้ามเนื้อมีขนาดที่เหมาะสมและมีความแข็งแรงก็เป็นได้ ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ และวิธีการในการออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน ซึ่งหากไม่ต้องการกล้ามเนื้อที่ใหญ่โตแต่มีความแข็งแรง ก็สามารถที่จะทำได้โดยยกลูกน้ำหนักที่มีน้ำหนักเบา และยกด้วยจำนวนครั้งที่มาก (10-20 ครั้ง) ซึ่งวิธียกน้ำหนักแบบนี้จะทำให้กล้ามเนื้อมีความทนทาน และไม่ทำให้กล้ามเนื้อมีขนาดที่ใหญ่โตแต่อย่างใด
    การยกน้ำหนัก ต้องยกจนเจ็บจึงจะเห็นผล จริงหรือไม่คะ ถ้าไม่จริง เราจะทราบได้อย่างไรว่าน้ำหนักที่เหมาะสมคือเท่าไร
    การยกน้ำหนัก อาจจะก่อให้เกิดอาการปวดทั้งในขณะที่กำลังยก และหลังจากยกน้ำหนักไปแล้ว ซึ่งอาการปวดในลักษณะของการเมื่อยล้า ขณะที่กำลังยกน้ำหนัก หรือการปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อหลังจากการออกกำลังกายโดยการยกน้ำหนัก โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่ได้เคยชินกับการยกน้ำหนักในรูปแบบนั้น นับว่าเป็นอาการปวดที่ดี เพราะแสดงให้เห็นถึงการได้ใช้งาน และการพัฒนาของกล้ามเนื้อมัดที่เมื่อยล้ามัดนั้นๆ
    แต่หากรู้สึกถึงอาการเจ็บ โดยเฉพาะการเจ็บแปลบ ณ มัดกล้ามเนื้อที่ใช้ในการยกน้ำหนักนั้น นั่นเป็นสัญญาณอันตรายทีบอกให้เรารู้ว่า มีความผิดปกติเกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อของเรา ซึ่งอาจจะเกิดจาก ท่ายกน้ำหนักที่ไม่ถูกต้อง หรือกรณีหนึ่งที่พบบ่อยไม่แพ้กันคือ การยกน้ำหนักที่หนักเกินกำลัง โดยในกรณีหลังนี้ นอกจากจะส่งผลให้เกิดอาการเจ็บที่มัดกล้ามเนื้อที่ใช้ยกน้ำหนักในท่านั้นๆตามปกติแล้ว ยังอาจจะก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อในมัดอื่นๆ ที่ไม่ได้เป็นมัดหลักในการออกกำลังกายนั้นๆได้เช่นกัน ซึ่งที่พบอยู่เสมอๆคือ คอและหลัง
    การหาน้ำหนักที่เหมาะสมในการออกกำลังกายโดยการยกน้ำหนักจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อที่จะให้การยกน้ำหนักนั้นได้ประโยชน์และหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บอันเกิดจากการยกน้ำหนักที่หนักเกินไป ซึ่งน้ำหนักที่เหมาะสมในการออกกำลังกายโดยการยกน้ำหนักนั้น จะอยู่ในช่วงตั้งแต่ 40-70% ของน้ำหนักสูงสุดที่เราสามารถยกได้จำนวน 1 ครั้ง (1 RM) ซึ่งการหาน้ำหนัก 1 RM นั้น แม้ว่าจะสามารถทำได้เองจากการลองผิดลองถูก ก็ควรที่จะได้รับการแนะนำและดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อหลีกเลี่ยงจากอันตรายและอันตรายและการบาดเจ็บที่อาจจะเกิดขึ้นได้
    จากประสบการณ์ที่สอนเรื่องการออกกำลังกายมา มีความเชื่อผิดๆอะไรเกี่ยวกับเรื่องออกกำลังที่อาจารย์เจอบ่อยและอยากเล่าให้ฟังบ้างคะ
    มีหลายรายมาปรึกษาว่า ทั้งที่ออกกำลังกายอยู่อย่างสม่ำเสมอ ทำไมน้ำหนักถึงไม่ยอมลด แถมในบางรายกลับเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำไป
    พอมาถามถึงพฤติกรรมอื่นๆที่เกี่ยวเนื่องก็พบว่า ในกลุ่มนี้มักจะมีความรู้สึกว่า อีกเดี๋ยวจะไปออกกำลังกาย ดังนั้นก็สามารถที่จะกินได้มากเท่าที่ต้องการ เพราะเดี๋ยวพอไปออกกำลังกายไอ้ที่กินเข้าไปนั้นก็จะถูกใช้เผาผลาญไปหมดในการออกกำลังกายเอง
    ปรากฎว่าโดยส่วนใหญ่ที่รู้สึกแบบนี้ มักจะเผลอกินเข้าไปมากกว่าที่การออกกำลังกายจะสามารถนำไปใช้ได้หมด ยกตัวอย่างเช่น รู้ว่าจะไปวิ่งสัก 20 นาที ระยะทางราว 3 กิโลเมตร ซึ่งโดยปกติจะเผาผลาญพลังงานราว 200-300 กิโลแคลลอรี่
    เมื่อรู้สึกว่าไหนๆก็จะไปวิ่งตั้ง 20 นาที เลยคิดว่าเดี๋ยวกินเพิ่มได้อีกนิดนึง ปรากฎว่าเอาเข้าจริงกลับกินเข้าไปเกินกว่าปกติไปเสีย จากเคยกินมื้อหนึ่งข้าว 1 ทัพพี เลยตักไป 2 ทัพพี (เพราะคิดว่าเดี๋ยวก็ใช้หมด) กลายเป็นว่ากินเข้าไปเกินกว่าจะเผาผลาญได้หมด
    แม้ว่าการกินอาหารก่อนออกกำลังกายจะมีความจำเป็นในการสำรองแหล่งพลังงานไว้ใช้ แต่หากกินในปริมาณที่มากเกินความจำเป็น ก็จะทำให้เกิดพลังงานที่เกินหลงเหลือ ซึ่งพลังงานส่วนเกินที่กินเข้าไปก็ไม่พ้นที่จะไปเก็บสะสมอยู่ในตัว กลายเป็นไขมัน และนำไปสู่ความอ้วนในที่สุดนั่นเอง

    ที่มา :  pleasehealth

    ปัญหาเด็กนอนกรน‏


    ปัญหานอนกรน ตอนนี้เรียกได้ว่าพบกันบ่อยเลยทีเดียว แต่นอนกรนแล้วจะเป็นปัญหาตามมากับเด็กด้วยหรือไม่ 
    • นอนกรนทุกวันหรือไม่
    • มีอาการหายใจลำบาก หยุดหายใจ สะดุ้งตื่นร่วมด้วยหรือไม่
    • มีอาการกระสับกระส่ายตอนนอนกรน ร่วมกับเหงื่อออก
    • ปัสสาวะรดที่นอน - ตอนตื่นนอนมีอาการซน สมาธิสั้น ง่วงนอนตอนกลางวัน
    • มีปัญหาการเรียนหรือไม่
    ถ้านอนกรนแล้วมีปัญหาต่างๆที่พูดถึงด้วยแล้วแสดงว่ามีปํญหา OSA (obstructive sleep apnea) ซึ่งเราจะพบในเด็กช่วง 3-6 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่มีระบบน้ำเหลืองกำลังเจริญเติบโตอย่างมาก ทำให้ต่อมทอลซิลและต่อมอดีนอยด์โต และถ้าใครอ้วน เป็นภูมิแพ้ เป็นหวัดบ่อยๆ เป็นไซนัสอักเสบ หรือดมควันบุหรี่จากคนในบ้านบ่อยๆ ก็จะย่งทำให้ต่อมน้ำเหลืองพวกนี้โตเร็วกว่าปกติ ส่งผลให้ทางเดินหายใจตีบแคบทำให้นอนกรน และมีปัญหาอื่นๆตามมา หรือในบางรายอาจมีปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาทและกล้ามเนื้อทำงานผิดปกติก็ทำให้นอนกรนได้
    อย่างไรก็ตาม ถ้ามีปัญหานอนกรนร่วมกับอาการดังกล่าวข้างต้นบางอย่างด้วยแล้ว ควรไปปรึกษากุมารแพทย์ทางเดินหายใจโดยเฉพาะเพื่อประเมินความรุนแรงและอาจต้องตรวจเพิ่มเติมค่ะ ในบางรายถ้าเป็นรุนแรงมากอาจต้องได้รับการผ่าตัด หรือต้องใช้เครื่องช่วยหายใจขณะนอนหลับ เพื่อเพิ่มออกซิเจนให้สมอง ที่สำคัญคือ ถ้าเด็กอ้วนควรควบคุมน้ำหนัก ด้วยการปรับอาหาร และออกกำลังกายควบคู่กันไปด้วยโดยอาจดูทิปลดน้ำหนัก


    ที่มา : pleasehealth

    อาหารเสริมสู้แสงแดด ... มีจริงหรือ?


    ทีนี้ มาดูกันครับว่าเหตุใดเจ้าสารสกัดจากเฟิร์นโพลิโพเดียม ลูโคโตมอส จึงได้รับความนิยมอย่างท่วมท้น
    1. ช่วยยับยั้งการสร้างและขจัดสารอนุมูลอิสระ อาทิเช่น ซูเปอร์ออกไซด์ แอนไอออน, ไฮดรอกซิลแรดิคอล, ซิงเกลท ออกซิเจน และ ไฮโดรเจนเปอรอกไซด์ ซึ่งสารอนุมูลอิสระเหล่านี้ทำให้เซลล์ผิวเสื่อมสภาพ ทำให้เกิดจุดด่างดำที่ผิวหนัง
    2. ช่วยบรรเทาผิวเสื่อมจากรังสียูวีเอและยูวีบี และป้องกันการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง
    3. ต้านการอักเสบที่ผิวหนัง จึงช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ตาย บรรเทาผิวเสื่อมจากแสงยูวี และป้องกันการเกิดมะเร็ง
    4. ป้องกันการลดลงของเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เรียกว่า “เซลล์แลงเกอร์ฮานส์ Langerhans Cells” ที่ทำหน้าที่เปรียบได้กับทหารที่ทำหน้าที่ปกป้องผิว เป็นภูมิคุ้มกันให้ผิวของเรา
    5. ปกป้องดีเอ็นเอ (DNA) หรือ สารพันธุกรรมของเซลล์ ไม่ให้เกิดการกลายพันธุ์ไปเป็น เซลล์มะเร็งผิวหนัง

      (Cosmetic Dermatology • December 2009 • Vol. 22 No. 12)
    ผลข้างเคียงจากการรับประทาน สารสกัดจากเฟิร์นโพลิโพเดียม ลูโคโตมอส พบว่าน้อยมาก จากการใช้กันมากกว่า 20 ปีในยุโรป พบว่าอาจทำให้มีอาการไม่สบายท้องในบางรายครับ ไม่แนะนำให้รับประทานในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร
    เห็นมั้ยครับว่า ประโยชน์อันเหลือร้ายของพืชที่เรารู้จักกันมาช้านานอย่าง เฟิร์น จะมีประสิทธิภาพอันทรงพลัง นำมาสกัดเป็นอาหารเสริม เป็นองครักษ์พิทักษ์ผิวจากการทำลายของรังสียูวีที่มากับแดด แต่อย่างไรก็ดีแสงแดดเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำร้ายผิวได้ ทำให้เราดูแก่กว่าวัย ผิวเหี่ยว หยาบกร้าน หรือร้ายกว่านั้นอาจนำไปสู่โรคมะเร็งผิวหนัง ฉะนั้นการดูแล ปกป้องผิวหลายๆ วิธีร่วมกันไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารเสริมสู้แดด การทาครีมกันแดด กางร่ม สวมหมวก ใส่แว่นกันแดด จึงเป็นสิ่งจำเป็น ในโลกปัจจุบัน ที่เราต้องเผชิญกับแดดจ้าๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ครับ


    ที่มา : pleasehealth